ลงทุนเท่าไหร่ ถ้าจะเปิดร้านชาบู หมูกระทะ

ลงทุนเท่าไหร่ ถ้าจะเปิดร้านชาบู สุกี้ หมูกระทะ 

การที่จะลงทุนในการเปิดร้านชาบู ร้าน สุกี้  ร้านหมูกระทะ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่คิดจะเปิดก็สามารถเปิดได้เลย จำนวนเงินในการลงทุนทำร้านชาบู  ร้านสุกี้   ร้านกมูกระทะ ต้องใช้เงินประมาณ 200,000 บาท อันนี้ยังไม่รวมพวกค่าทำเลที่ตั้งในการเปิดร้าน ชาบู  ร้านสุกี้   ร้านหมูกระทะ อุปกรณ์ วัตถุดิบต่างๆ ค่าตกแต่งร้านเพื่อสร้างบรรยากาศในการเข้ามากินชาบู สุกี้   หมูกระทะ หากรวมค่าต่างๆในการเปิดร้านชาบู-สุกี้ ก็ต้องใช้เงินเยอะมาก อาจจะใช้เงินลงทุนประมาณ 700,000 เลยก็ได้ หากเราต้องเช่าสถานที่ตั้งร้านด้วย  เพราะในการทำร้านชาบู ร้านสุกี้ร้านหมูกระทะ  เราต้องเน้นไปที่ วัตถุดิบต้องมีความหลากหลาย เลือกวัตถุดิบพวกเนื้อวัว เนื้อหมู ซีฟู้ด ผักสดที่มีคุณภาพ รสชาติอาหารเป็นหลักก่อน ทำเลที่ตั้งของร้านชาบู ร้านสุกี้  ร้านหมูกระทะ  ต้องเป็นแหล่งที่มีชุมชนอยู่เยอะยิ่งจะได้เปรียบในการขาย ถ้าทำเลที่ตั้งดี ค่าใช้จ่ายก็คงจะแพงขึ้นตามด้วย เราอาจจะต้องลองเสี่ยงในการจ่ายค่าที่แพงเพื่อที่จะได้มีลูกค้าในปริมาณที่เยอะขึ้น อีกทั้งต้องมีเงินสำรองเผื่อไว้สำหรับค่าใช้จ่ายต่างๆภายในร้านชาบู ร้านสุกี้ ร้านหมูกระทะ เช่น ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าแรงงานของพนักงาน สิ่งที่เราต้องรู้อีกอย่างคือ การบริหารต้นทุนในการเปิดร้านชาบู  ร้านสุกี้  ร้านหมูกระทะ อาจจะเป็นเรื่องที่ยากสำหรับผู้ประกอบการใหม่ หลายคนที่ไม่รู้วิธีการบริหารว่าจะต้องลงทุนเท่าไหร่ ลงทุนอะไรบ้างก็มักจะนำเงินไปลงทุนกับสิ่งที่ไม่ได้จำเป็นสักเท่าไหร่ ไม่ได้คิดถึงเงินที่ต้องนำไปหมุนเวียนจนอาจทำให้ธุรกิจชาบู  สุกี้ เกิดความผิดพลาด ดังนั้นเราจึงอยากแบ่งปันหลักในการคำนวณต้นทุนต่างๆที่ต้องใช้ในการเปิดร้านชาบู   สุกี้   ร้านหมูกระทะ ดังนี้

การที่เราเปิดร้านชาบู ร้านสุกี้ ส่วนใหญ่จะเริ่มจากขนาดเล็ก ซึ่งต้นทุนไม่ค่อยสูงมากเท่าไหร่ ดังนั้นจึงอยากแนะนำให้รู้จักการนำกำไรไปต่อยอดร้านชาบู ร้าน สุกี้ ให้โตขึ้น โดยเริ่มจากการขยายพื้นที่ร้านให้ใหญ่ขึ้น แต่ถ้าหากเงินทุนไม่เพียงพอก็ไม่แนะนำให้ขยายพื้นที่ในร้าน ควรดูความเป็นไปได้ว่าลูกค้าเยอะเพียงพอที่เราจะขยายหรือไม่ รวมไปถึงการจัดการด้านระบบต่างๆต้องมีคุณภาพด้วย  การลงทุนที่จะเปิดร้านชาบู  ร้านสุกี้ ร้านหมู ต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูง แต่ก็ยังมีคนหันมาลงทุนทำธุรกิจกันเยอะพอสมควร เพราะร้านชาบู ร้านสุกี้  ร้านหมูกระทะ เป็นที่นิยม คนส่วนใหญ่ก็มันจะชอบกินอยู่แล้ว ทำให้เรื่องฐานลูกค้าไม่ค่อยมีปัญหามากนัก แต่ที่สำคัญคือการที่จะประกอบธุรกิจชาบู  สุกี้ ต้องมีประสบการณ์มากพอ หากคิดว่ายังไม่มีประสบการณ์ในการเปิดร้าน ก็ควรใช้วิธีการลงทุนกับพวกแฟรนไชส์ เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องลงทุนเยอะ

เราต้องมีเงินทุนเท่าไหร่  ถ้าจะเปิด kiosk ชาบูเสียบไม้

ทางเรามีเคล็ดลับสำหรับการเปิดธุรกิจชาบูเสียบไม้มาฝากคะ อันดับแรกคือความหลากหลายของวัตถุดิบที่จะนำไปทำเป็นชาบูเสียบไม้ ที่สามารถเข้าถึงความต้องการของลูกค้าได้หลากหลายสไตล์ ความชื่นชอบของแต่ละบุคคลนั้นต่างกันการที่มีความหลากหลายของวัตถุดิบ ทำให้ลูกค้ารู้สึกไม่เบื่อที่จะกินชาบูเสียบไม้ บางร้าน ก็มีแถมน้ำซุป รสชาติต่างๆ ด้วย ต่อมาสิ่งที่ต้องคำนึงมากๆ ก็คือ ที่ตั้งในการเปิดร้าน เราต้องเลือกทำเลให้ดี แหล่งที่มีคนชุมชนเยอะๆ และที่สำคัญแหล่งนั้นต้องเป็นแหล่งที่ลูกค้าไม่ค่อยชอบทำกับข้าวกินเองแบบจริงจัง แต่แค่อาจจะนึกสนุกจัดทำอาหารกินเองบ้างเป็นบางวัน เช่น เปิดร้านขายที่ตลาด ตลาดนัด  ใกล้สถานศึกษา และใกล้คนที่ทำงาน สะดวกซื้อกลับไปทานที่บ้าน  อันดับต่อมาคือการดูแลเรื่องต้นทุน จัดสรรงบให้ครอบคลุมในการทำธุรกิจ    ชาบู เสียบไม้ ทั้งวัตถุดิบ ค่าแรงงานพนักงาน อุปกรณ์ในการทำชาบู จนไปถึงการหมุนเวียนเงินค่าใช้จ่ายที่จำเป็น และสุดท้ายต้องมีสูตรในการทำน้ำซุปชาบู หรือซอสน้ำซุปชาบู เป็นหลักสำคัญอีกอย่างนึงเลย ถ้าน้ำซุปชาบูอร่อย รสชาติเด็ดเข้าถึงลูกค้า และมีความหลากหลายของน้ำซุปชาบู ก็จะทำให้ลูกค้าไม่รู้สึกจำเจที่จะเลือกกินร้านเราบ่อยๆ

พอพูดถึงเรื่องต้นทุนหลายคนอยากรู้กันแล้วใช่ไหมคะว่าในการเปิดร้านชาบูเสียบไม้นั้นต้องใช้เงินลงทุนประมาณเท่าไหร่ จะได้กำไรหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน ทางเรามีคำตอบให้ค่ะ การที่จะลงทุนชาบูเสียบไม้ร้านขนาดไม่ได้ใหญ่มากนักนั้นจะใช้เงินลงทุนประมาณ 5000 – 8000 บาท ขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้งด้วยนะคะ โดยเราอาจจะแบ่งงบประมาณส่วนหนึ่งสำหรับการซื้อวัตถุดิบที่แปลกๆ ใหม่ๆ เช่นลูกชิ้นสอดไส้ชีส  ลูกชิ้นไก่ สอดไส้น้ำจิ้ม และอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำชาบูเสียบไม้ ต่อไปสิ่งที่หลายๆคนอยากรู้ก็คือกำไรในการทำธุรกิจชาบูเสียบไม้ ส่วนใหญ่ธุรกิจชาบูเสียบไม้จะมีกำไรต่อวันประมาณ 500 – 1000 บาท ซึ่งจะกำไรมากหรือน้อยก็จะมีปัจจัยต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น ทำเลที่ตั้งในการเปิดร้านขายชาบู รวมถึงพวกรสชาติน้ำซุป ความหลากหลายของวัตถุดิบ และอีกอย่างที่เป็นหลักสำคัญ คือ การบริการในการขาย ที่ต้องมีความเป็นกันเอง ยิ้มแย้ม พูดจาสุภาพ บริการด้วยความเต็มใจ